incantation เรื่องย่อ หนังจากเรื่องจริงบนเกาะไต้หวัน ที่ดูสนุกดีแต่ไม่มีอะไรใหม่

ทันทีที่ incantation เรื่องย่อ หรือ มนตรา ในชื่อภาษาไทย สตรีมทาง Netflix ก็เกิดความเห็นออกเป็นสองฝ่าย ทั้งคนที่ชอบมาก สยองมาก สนุกมาก และคนที่ไม่ชอบเลย รู้สึกเสียเวลาดู แต่สำหรับผู้เขียนหากมองข้ามการอวยยศเกินจริงที่ทำให้หลายคนรู้สึกอคติ หนังจากไต้หวันเรื่องนี้ก็ดูสนุกดี เพียงแต่มันไม่มีอะไรใหม่เท่านั้นเอง

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในเรื่อง*

Incantation เข้าฉายที่ไต้หวันในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และทำรายได้ถึง 23 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ 3 วันแรก โดยได้แรงบันดาลใจจากคดีจากเมืองเกาสงในปี 2005 เมื่อสมาชิกของครอบครัวหนึ่งที่มีด้วยกัน 6 คน อ้างว่าถูกเทพเข้าสิงจนทำให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป คือทำร้ายกันเอง และกินแค่น้ำผสมขี้เถ้าเพื่อประทังชีวิตเป็นเดือนๆ จนกระทั่งทุกคนได้เริ่มได้สติกลับคืนมา ลูกสาวคนโตของครอบครัวกลับป่วยหนักและเสียชีวิตในเวลาต่อมา สมาชิกในครอบครัวถูกตั้งข้อหาละเลยจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ซึ่งเนื้อเรื่องหยิบเพียงประเด็นการถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่างและการปฏิบัติตามความเชื่อ จนเกือบทำให้ตัวละครในเรื่องเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาใช้เท่านั้น

incantation เรื่องย่อ

incantation เรื่องย่อ 6 ปีก่อนหญิงสาวคนหนึ่งออกล่าท้าผีกับเพื่อนที่บ้านเกิดของแฟนหนุ่ม และได้พบพิธีกรรมที่อธิบายไม่ได้ ในตอนนี้เธอต้องหาทางช่วยลูกสาวที่เหมือนจะถูกหลอกหลอนจากคำสาปทั้งที่อยากจะลืมเหตุการณ์ในตอนนั้น

Incantation เล่าเรื่องของ ‘หลีรั่วหนาน’ หญิงสาวที่ต้องคำสาปจากการเข้าไปร่วมในพิธีกรรมและเข้าไปในอุโมงค์ต้องห้ามของครอบครัวแฟนหนุ่มเมื่อ 6 ปีที่แล้ว จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเธอกลายเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต จนมีอาการป่วยทางจิต และต้องพลัดพรากจาก ‘ตั่วตัว’ ลูกสาว จนเมื่ออาการดีขึ้นจึงไปรับตั่วตัวกลับมา แต่แล้วเรื่องราวแปลกๆ เมื่อ 6 ปีที่แล้วก็เกิดขึ้นซ้ำอีก ทำให้เธอต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือลูกสาวให้ปลอดภัย จุดเด่นของหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องในสไตล์ Found Footage คือเล่าผ่านกล้องวิดีโอส่วนตัวของตัวละคร รวมทั้งกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆ แล้วนำมาเรียงร้อยต่อกันแบบไม่ลำดับขั้นเวลา ทำให้ส่วนนี้เป็นหนึ่งในจุดอ่อนของหนังที่อาจทำให้คนดูสับสน อย่างไรก็ดี ก็ถือได้ว่าไม่ยากเกินไปที่จะทำความเข้าใจ ที่สำคัญการเล่าเรื่องแบบนี้ยังทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง เมื่อผนวกกับการวางคาแรกเตอร์ตัวละครให้เป็นแก๊งล่าท้าผีด้วยแล้ว ก็พอจะเชื่อได้ว่าเธอเป็นคนขยันถ่าย แม้ในหลายๆ ฉากจะดูเซ็ตอัพ หรือจะตายอยู่แล้วยังจะถ่ายอีกเหรอ? อยู่บ้างก็ตาม

หนังเปิดฉากด้วยตัวหลีรั่วหนานอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และแนะนำให้คนดูทำอะไรบางอย่างแบบกึ่งห้ามกึ่งยุไปกับเธอ ตรงจุดนี้ช่วยกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนดูได้ดี แม้ว่ารู้อยู่แก่ใจว่าจะตกหลุมพรางก็ตาม ยิ่งได้ยินเสียงบทสวดคลอไปด้วยก็นับว่าเป็นการบิลด์อารมณ์คนดูได้น่าสนใจ

จากนั้นก็จัดหนักจัดเต็มด้วยฉากสยดสยองต่างๆ นิ่งๆ สลับตุ้งแช่แบบหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งๆ ที่แทบทั้งเรื่องมีฉากผีปรากฏตัวแค่ครั้งเดียวและเห็นแค่มือเท่านั้น แต่หนังเล่นกับความกลัวของคนผ่านอาการ Phobia ต่างๆ ทั้งกลัวเลือด กลัวแมลง กลัวรู กลัวฟัน และความขรึมขลังของพิธีกรรม รวมทั้งพฤติกรรมแปลกๆ ของคนผ่านความเชื่อ แม้โดยส่วนตัวผู้เขียนจะค่อนข้างเฉยๆ กับผีจีน แต่การเลี่ยงไปให้เป็นพิธีของพุทธนิกายตันตระที่มีทั้งเทพและมาร ก็ช่วยเพิ่มความเอ็กโซติกขึ้นไปได้อีกหน่อย อย่างไรก็ดี ความสยดสยองที่แท้จริงของเรื่องนี้ต้องยกให้กับฉากการทำร้ายตัวเองของคนที่ถูกวิญญาณครอบงำ ซึ่งบางฉากเรียกได้ว่าสร้างสรรค์วิธีการตายได้อย่างพิสดารดีทีเดียว รวมทั้งภาพร่างกายมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจแต่ร่างกายเน่าเปื่อยจนมีแมลงเข้าไปทำรัง ก็สร้างภาพติดตาให้คนดูนอนหลับไม่สบายได้เหมือนกัน

แม้ Incantation จะจัดหนักจัดเต็มกับฉากน่ากลัวๆ แต่เป็นเพราะหลายๆ ฉากที่แฟนหนังสยองขวัญเคยเห็นมาแล้ว ทำให้รู้สึกบางช่วงค่อนข้างน่าเบื่อ และหนังยาวเกินไป ซึ่งสามารถตัดบางฉากออกไปก็ได้ ส่วนการแวะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูกเพื่อให้ตอนจบดูหนักแน่นยิ่งขึ้น ก็ออกมาดูตื้นเขิน ทั้งๆ ที่เนื้อหาสามารถสอดเทรกความพร่าเลือนระหว่างเรื่องจริงและอาการทางจิตของแม่ที่อาจคร่าชีวิตของลูกได้ให้หนังฉีกไปจากหนังสยองขวัญแบบเดิม แต่สุดท้ายก็เลือกใช้มุก ‘จดหมายลูกโซ่’ ที่คนดูเคยผ่านหูผ่านตากันมาหลายครั้ง

สรุปโดยรวม Incantation เป็นหนังที่ไม่ถึงกับแย่ เพียงแต่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แต่ถ้ามองในแง่การให้ความบันเทิงแล้ว ความยาวของหนังร่วม 2 ชั่วโมงก็ไม่ถึงกับทำให้เสียเวลา เหมาะสำหรับคนที่อยากขนลุกขนพองสยองขวัญให้คืนนี้หลับยากขึ้นมาอีกหน่อย

สี่ ศาสตร์ทางภาพยนตร์ที่สาดใส่ภาพและเสียงอย่างหนัก

หนังผียุคหลัง ‘The Blair Witch Project’ (1999) ก่อให้เกิดแนวทางแบบสารคดีปลอม (Mockumentary) ที่กลมกลืนระหว่างเรื่องจริงและเรื่องแต่งจนแยกออกได้ยาก คุณภาพของงานสร้างไม่ได้ยึดโยงอยู่กับการประดิษฐ์ให้สวยงาม แต่เป็นการประดิษฐ์ให้สมจริง เทคนิคการถ่ายถือกล้องแบบแฮนด์เฮลด์ช่วยเลี่ยงหลบพวกความไม่สมบูรณ์ได้เฉกเช่นเดียวกับการถ่ายโหมดกลางคืนที่กลบรายละเอียดไปได้มาก ทั้งตัวภาพที่สีแปลกประหลาด มืดทึม และความสั่นไหวก็สะท้อนภาวะความไม่มั่นคงไปสู่ใจของผู้ชมได้เด่นชัด

น่าสนใจว่าหนังเรื่องนี้สามารถผสมระหว่างการถือกล้องถ่ายที่สั่นไหว และการตั้งกล้องนิ่งเพื่อให้เห็นภาพกว้างของเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะสม โดยให้เห็นว่าตัวละครเป็นผู้ตั้งกล้องเองทำให้ผู้ชมไม่ข้องใจในที่มาของมุมกล้องต่าง ๆ แม้ว่าความเป็นจริงหลายมุมกล้องที่เกิดขึ้นผู้สร้างก็แอบโกงไม่ได้บอกว่าใครเป็นผู้ถ่ายอยู่เช่นกัน แต่ก็เพื่อให้การเล่าเรื่องราบรื่นนั่นเอง ที่เราไม่ได้เอะใจมากก็เพราะส่วนอื่น ๆ ของเรื่องมันช่วยดึงความสนใจเราออกไปได้อยู่

นอกจากนี้ส่วนที่น่าสนใจอีกอย่างคือการใช้เสียงที่ส่งพลังและสร้างบรรยากาศได้อย่างน่าขนลุก มีเสียงโทนต่ำของเสียงสวดผสมกับเสียงก้อง ๆ เหมือนลมที่ไหลผ่านไปตามอุโมงค์ลึก นี่เป็นอีกสูตรสำเร็จที่หนังคอยสอดใส่มาตลอด และคลุมโทนของเรื่องไว้ได้อย่างลงตัว แน่นอนว่าเมื่อถึงช่วงเฉลยในภายหลังเสียงสวดนี้ก็ยิ่งติดังในหูผู้ชม ส่งความน่ากลัวให้หลอนมากยิ่งขึ้นไปอีก‘Incantation’ หรือ ‘มนตรา’ จึงเป็นหนังไต้หวันที่น่าสนใจ เต็มไปด้วยกลวิธีที่คิดมาอย่างดีว่าจะสร้างความกลัวให้ผู้ชมได้มากที่สุด และเหมาะกับการศึกษาแง่มุมความกลัวได้อย่างดี ถ้าจะมีแนะนำอย่างหนึ่งคือควรดูพากย์ไทยมากกว่า เพราะแปลได้ดีกว่าซับไทย incantation เรื่องย่อ

บทความที่เกี่ยวข้อง